คณะกรรมการประเมินราคาทรัพย์สินออกประกาศราคาประเมินที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ เริ่มใช้ 1 มกราคม 2566 เรื่อง กำหนดวันเริ่มใช้รายการราคาประเมินที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างตามพระราชบัญญัติการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน พ.ศ. 2562 โดยคณะกรรมการส่วนจังหวัดประกาศกำหนดการประเมินราคาที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างทุก 4 ปี โดยต้องประกาศล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วันก่อนวันใช้บัญชีดังกล่าวและกำหนดให้รายการประเมินราคาที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างซึ่งให้ใช้ ณ วันที่ 1 มกราคม ของปีที่คณะกรรมการประเมินราคาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ ของรัฐ แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ และการปรับปรุงราคาประเมินที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในครั้งนี้ทำให้ราคาประเมินที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 10 ของราคาประเมินเดิม หากประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันทีหรือมีผลบังคับใช้ในปีหน้า เกรงว่า จะส่งผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นจากการปรับราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษี
“ดังนั้น คณะกรรมการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินจึงมีมติให้ออกประกาศราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายทุก 4 ปี แต่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ในขณะที่ยังไม่ได้ใช้ราคาประเมินใหม่. ใช้บัญชีราคาประเมินอสังหาริมทรัพย์ปี 2559-2562 เก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ค่าโอน และค่าจดจำนองปิดบังไว้ก่อน” นายประภาส กล่าว
อนึ่ง หลังจากเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ประชุม ครม.ได้ออกมาตรการภาษีเพื่อเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ถึง 2 ครั้ง มาตรการปีต่อปี เริ่มตั้งแต่ปี 2563 ในที่ประชุม คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติออกพระราชกฤษฎีกาลดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ของอัตราเดิม สำหรับการจัดเก็บภาษีในปี 2563 ได้แก่ ลดค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาริมทรัพย์เหลือ 0.01% จากเดิม 2% และค่าธรรมเนียมจำนองอสังหาริมทรัพย์เหลือ 0.01% จากเดิม 1%
หลังหมดมาตรการยังไม่สายที่จะเริ่มเก็บภาษี มีปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด ระลอกใหม่เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบ ขยายเวลามาตรการลดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% สำหรับการจัดเก็บภาษีประจำปี 2564 และมาตรการลดค่าโอนและค่าจดจำนองออกไปอีก
สำหรับการปรับลดภาษีทั้ง 2 ครั้ง ทำให้ท้องถิ่นขาดรายได้ที่จะใช้ในการพัฒนาประมาณ 41,445 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 35,545 ล้านบาทต่อปี และค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง อัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จัดเก็บจากราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของกรมธนารักษ์แบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้งาน แบ่งเป็น 3-4 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มแรก ใช้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ตามกฎหมาย อัตราจัดเก็บไม่เกิน 0.15% ของราคาประเมินที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง (เพดานอัตราภาษี) โดยเจ้าของที่ดินมูลค่าไม่เกิน 75 ล้านบาท เสียภาษี 0.01% แต่ถ้ามูลค่า 100-500 ล้านบาท 75-100 ล้านบาท คิดอัตราภาษี 0.03% มูลค่า 500-1,000 ล้านบาท คิดภาษี 0.05% มูลค่า 1,000-5,000 ล้านบาท คิดภาษี ในอัตรา 0.1%
กลุ่มที่ 2 ใช้เป็นที่อยู่อาศัย เพดานอัตราภาษี 0.3% ของราคาประเมิน กรณีนี้แบ่งเป็น 2 กรณี คือ บ้านหลักที่มีมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท ได้รับยกเว้นภาษี และมูลค่า 10-50 ล้านบาท ได้รับยกเว้นภาษีในอัตรา 0.02%, 50-75 ล้านบาท เสียภาษีอัตรา 0.03% 75-100 ล้านบาท เสียภาษีอัตรา 0.05% และ 100-150 ล้านบาท เสียภาษีอัตรา 0.1%
กรณีมีบ้านหลายหลังมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท เสียภาษี 0.02%, มูลค่า 50-75 ล้านบาท 0.03%, มูลค่า 75-100 ล้านบาท 0.05%, และ มูลค่ากว่า 100 ล้านบาทขึ้นไปเสียภาษี 0.1 %
กลุ่มที่ 3 ใช้เพื่อการพาณิชย์ อุตสาหกรรม และที่ดินเปล่ารกร้าง เพดานอัตราภาษีอยู่ที่ 1.2% หากมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท คิดภาษี 0.3% มูลค่า 50-200 ล้านบาท อัตราภาษี 0.4% มูลค่า 200-1,000 ล้านบาท ต้องเสียภาษี 0. 5% ที่ดินมูลค่า 1,000 ล้านบาท เสียภาษี 0.6% และที่ดินมูลค่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษี 0.7% ของราคาประเมิน เฉพาะกรณี “ที่ดินเปล่า” คิดเพิ่ม 0.3% ทุก 3 ปี แต่รวมแล้วไม่เกิน 3%
ทั้งนี้ ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน เรื่อง วันเริ่มใช้บัญชีราคาประเมินที่ดินหรืออาคารตามพระราชบัญญัติการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน พ.ศ. 2562 โดยคณะกรรมการจังหวัดประกาศบัญชีราคาที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างทุกสี่ปี ต้องประกาศล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ก่อนเริ่มบัญชีและกำหนดให้รายการประเมินราคาที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง มีผลใช้บังคับในวันที่ 1 มกราคม ของปี ซึ่งกำหนดโดยคณะกรรมการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน
ข่าวราคาประเมินที่ดิน กรมธนารักษ์ คนโอนบ้าน-ภาษีที่ดินเฮ ยืดใช้ราคาประเมินเก่าถึงปี 67
เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐสำหรับผู้ซื้อบ้านในด้านค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนอง กระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ และลดภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่ราคาประเมินใหม่ที่เคยประกาศทุก 4 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2563 ราคาประเมินจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% ในกรุงเทพฯ เช่น 1 ล้านบาทต่อตารางเมตร เป็นต้น
สำหรับบัญชีราคาประเมินทุนทรัพย์ ปี 2564-2567 ซึ่งเป็นบัญชีรอบที่ 1 ตาม พ.ร.บ.การประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน พ.ศ.2562 โดยยังคงใช้ราคาประเมินปี 2559 ต่อไปจนกว่าสถานการณ์โควิดจะดีขึ้น และรอบที่ 2 รอบบัญชี
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567-2568 การประเมินมูลค่าทรัพย์สินดังกล่าวจะถูกปรับให้สะท้อนราคาตลาดหรือใกล้เคียงตามกฎหมาย แต่ต้องพิจารณาว่าราคาซื้อขายอสังหาฯ หลังโควิด ราคาตกต่ำกว่าราคาประเมินเหมือนช่วงต้มยำกุ้งหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้น จากข้อมูลของกรมที่ดินระบุว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ยังสูงกว่าราคาประเมิน ส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงไม่ใช่เพื่อเก็งกำไร จึงเป็นไปได้ว่าแนวโน้มราคาประเมินหลังวิกฤตโควิดอาจเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์โควิดดีขึ้นก่อนปีที่ประกาศใช้บัญชีประเมินเก่า กรมฯ จะพิจารณาปรับราคาประเมินขึ้นได้ ก่อนเช่นกัน ปี 2566 เป็นต้น